ชื่อสามัญ : Tea, Thea
ชื่ออื่นๆ : เมี่ยง, เมี่ยงป่า (ไทยภาคเหนือ-พายัพ), ชา (ไทยเมี่ยง, เมี่ยงป่า (ไทยภาคเหนือ-พายัพ), ชา (ไทยภาคกลาง)
ชื่อวงศ์ : TERNSTROEMIACEAE
ลักษณะทั่วไป :
ต้น : เป็นพรรณไม้ขนาดย่อมจนถึงขนาดกลาง
ใบ : จะเป็นใบเดี่ยวออกสลับกัน ลักษณะใบจะหนา เหนียวและเป็นจักเล็ก ๆ คล้ายกับใบ ข่อยแต่จะยาวและใหญ่กว่า
ดอก : จะออกดอกเป็นช่อ เป็นกระจุก คล้ายกับดอกส้มเขียวหวาน ดอกมีลักษณะใหญ่สีสวย สีขาวนวล และมีกลิ่นหอม
ผล : จะเป็น capsule ในผลหนึ่งนั้นจะมีเมล็ดอยู่ภายในประมาณ 1-3 เมล็ด การขยายพันธุ์ : โดยการใช้เมล็ดเพาะ
ส่วนที่ใช้ : ใบ ใบอ่อน กากชา กากเมล็ด กิ่งและใบ ใช้เป็นยา
สรรพคุณ :
ใบ นำมาต้มเคี่ยวเอาน้ำกิน มีฤทธิ์ช่วยกระตุ้น ทำให้กระชุ่มกระชวย ไม่ง่วง และยังมีฤทธิ์ฝาดสมานใช้รักษาอาการท้องร่วง ร้อนในกระหายน้ำ และรักษาอาการปวดเมื่อยตามร่างกายได้ดี บำรุงหัวใจให้ชุ่มชื่น นอกจากนี้ใบยังใช้ใส่ลงโลงศพ เพื่อดูดกลิ่นเหม็นจากศพ
ใบอ่อน จะมีรสฝาด หอม หวาน ใช้ยำกินอร่อยมาก นอกจากนี้แล้ว ยังนำมาปรุงแต่งและอบกลิ่นเป็นใบชา
กากเมล็ด จะมีสารชาโปนีน (saponin) มีคุณสมบัติล้างสิ่งต่าง ๆ ได้สะอาดดีมาก และยังใช้สระผมล้างสิ่งสกปรกออกจากผม นอกจากนั้นแล้วน้ำมันที่ติดกากเมล็ดยังช่วยทำให้เส้นผมชุ่มชื้นเป็นมันอีกด้วย
กิ่งและใบ นำมาชงแก่ ๆ ใช้รักษาอาการพิษของยาอันตรายที่เป็นแอลกอฮอล์ต่าง ๆ และยังใช้ทำน้ำยาสมานของกรดแทนนิค ใส่แผลไหม้พอง
อื่น ๆ : ใบอ่อนที่นำมาปรุงแต่งอบกลิ่นใบชา ยังส่งไปขายเป็นสินค้าตามต่างประเทศ ในประเทศไทยเราเรียกว่าต้นเมี่ยง ส่วนมากทางภาคเหนือเป็นที่รู้จักกันมานาน ใบเมี่ยงนี้นำมานึ่งแล้วหมักกับเกลือ ทำเป็นคำ ๆ ใช้อม ทำให้คอชุ่มรักษาอาการกระหายน้ำได้ดีมาก การเก็บใบชา มักจะเก็บแต่ใบอ่อน ๆ แรกผลิออกเป็น 3 ใบเท่านั้น ส่วนการเก็บเมี่ยงนี้มักจะเก็บทั้งใบอ่อนและใบขนาดกลางเท่านั้น
ถิ่นที่อยู่ : พรรณไม้นี้เป็นพันธุ์เดิมของประเทศจีน แต่ในประเทศไทยก็มีมาแต่ช้านานแล้ว เคยพบที่จังหวัดพะเยาแต่ไม่ค่อยมีมากเท่าไหร่ แต่ก็มีการปลูกกันประปราย ทางภาคเหนือ
อ้างอิง : พจนานุกรม สมุนไพรไทย ดร.วิทย์ เที่ยงบูรณธรรม